Google เปลี่ยนชื่อ Bard เป็น Gemini พร้อมฟีเจอร์ที่ฉลาดกว่าและมีแบบเสียเงินให้เลือก

ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล, Google ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว Gemini, ระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งเป็นการต่อยอดจาก Bard ที่เรารู้จักกันดี บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นนี้ โดยจะดูทั้งความโดดเด่นของ Gemini, ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เสนอ และการรวมเข้ากับบริการของ Google อื่นๆ ที่จะเปลี่ยนวิธีที่เราใช้งานเทคโนโลยี AI ในชีวิตประจำวัน

ความโดดเด่นของ Gemini ใหม่

Gemini, ที่ก่อนหน้านี้เรียกว่า Bard, ได้รับการอัปเกรดให้เป็นเวอร์ชั่นที่ฉลาดกว่าและมีฟังก์ชันการทำงานที่กว้างขึ้น ด้วยระบบ Gemini Pro 1.0 ที่รองรับมากกว่า 230 ประเทศและ 40 ภาษา, ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Gemini ได้ทั้งผ่านเว็บไซต์และแอปบนมือถือ ฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงการรองรับการพิมพ์และการใช้เสียง, ช่วยให้เกิดการถามตอบได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การพิมพ์, การพูด, ไปจนถึงการช่วยวาดภาพ

การเสนอฟีเจอร์แบบเสียเงิน

ถึงแม้ว่า Gemini จะสามารถใช้งานได้ฟรี, Google ยังเสนอ Gemini Advance ผ่านบริการ Google One Premium ซึ่งรวมพื้นที่กว่า 2TB และการเข้าถึง Gemini Ultra 1.0 ที่มีราคาอยู่ที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 750 บาทต่อเดือน การนำเสนอนี้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน Gemini ได้อย่างเต็มที่ โดยมีคุณสมบัติและฟังก์ชันการทำงานที่เหนือกว่า

การรวมเข้ากับ Google Workspace และ Google Cloud

Gemini ยังได้รับการรวมเข้ากับ Google Workspace, ทำให้ผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ผ่านฟีเจอร์ “Help me write” และ Duet AI จะกลายเป็น Gemini สำหรับ Workspace โดยในเร็วๆ นี้, ผู้ที่สมัครแพ็คเกจ Google One AI Premium จะสามารถใช้ Gemini ได้ใน Gmail, Google Docs, Google Sheets, Google Slides และ Google Meet

ในส่วนของ Google Cloud, Gemini จะช่วยให้บริษัทต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เขียนโค้ดได้เร็วขึ้น, และช่วยให้องค์กรปกป้องตัวเองจากการโจมตีทางไซเบอร์

Gemini บน Android

การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือ Gemini จะเข้ามาแทนที่ Google Assistant บน Android, เพิ่มความสามารถในการสรุปบทความ, สร้างคำบรรยาย, ช่วยเหลือในการตั้งเวลา, และควบคุมอุปกรณ์ Smart Home ด้วยความสามารถที่เหนือกว่า, Gemini นำเสนอวิธีใหม่ในการโต้ตอบกับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน, ทำให้การใช้งานอุปกรณ์ Android ของคุณเป็นเรื่องง่ายและฉลาดขึ้นกว่าเดิม

สรุป

การเปลี่ยนชื่อจาก Bard เป็น Gemini ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนชื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับปรุงและเพิ่มพูนฟังก์ชันใหม่ๆ ที่ทำให้ระบบ AI นี้ไม่เหมือนใคร ด้วยความสามารถในการรองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ, การเสนอฟีเจอร์แบบเสียเงินที่ให้ผลลัพธ์เหนือกว่า, และการรวมเข้ากับบริการของ Google อื่นๆ, Gemini จึงเป็นการตอบสนองต่อความต้องการในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป

การนำเสนอ Gemini ใหม่นี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีของ Google เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอเครื่องมือที่ทรงพลังซึ่งสามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิธีการทำงานและการใช้ชีวิตของเรา Gemini จึงไม่เพียงแต่เป็นการอัพเกรดจาก Bard เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่อนาคตของการโต้ตอบกับเทคโนโลยี AI ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ฉลาดขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราได้อย่างแท้จริง

ด้วย Gemini, Google ไม่เพียงแต่ปรับปรุงเทคโนโลยี Generative AI ให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปิดมิติใหม่ในการทำงานร่วมกับ AI, ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน, การเสนอตัวเลือกการใช้งานแบบเสียเงินผ่าน Google One Premium ยังเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการนำเสนอบริการที่คุ้มค่าและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในทุกระดับ

Gemini จึงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ Google เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างของวิธีที่เทคโนโลยีสามารถช่วยเราในการนำพาชีวิตและการทำงานไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ด้วย Gemini, เราเข้าใกล้กับอนาคตที่การโต้ตอบกับเครื่องจักรเป็นเรื่องปกติ และ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่ไม่อาจขาดได้ในทุกด้านของชีวิต